หลังจากเรียบเรียงบทสวดไทยล้วนเผยแผ่มาระยะหนึ่ง พบว่าได้ผลดีมาก อัดเสียงหนังสือสมเด็จพระสังฆราช ท่านแนะว่าให้เอาเรื่องมรณานุสติและอสุภะมาพิจารณาทุกวัน เลยเรียบเรียงเป็นบทสวดเพิ่ม เพื่อให้คนไว้สวดท่องหรือเอาไว้ฟังหลังสวดมนต์ ซึ่งกำลังจะอัดเสียงเผยแพร่ เพราะหลายคนไม่มีเวลาสวดก็จะได้เอาไว้ฟังซึ่งก็ได้ผลเหมือนกัน เป็นการโปรแกรมจิตในทางกุศล สร้างบุญแบบง่าย พอดีกับมูลนิธิศรีเจริญธรรมขอให้อัดเสียงสวดมนต์ให้ พร้อมกับบทสวดที่ผมเรียบเรียง ก็เลยเร่งทำบทเพิ่ม ลองสวดหลายรอบแล้ว คิดว่าดีระดับหนึ่ง และเป็นสิ่งที่ทุกคนควรจะนำมาท่องหรือฟังทุกวัน เพื่อเตือนสติให้เร่งความเพียร เพราะชีวิตเราสั้นมาก มีโอกาสทำบุญกันแค่ตอนเป็นมนุษย์ เป็นภพเดียวที่ทำบุญได้สูงสุด
บทสวดภาษาไทยดูที่นี่นะครับ
http://www.jozho.net/index.php?mo=3&art=42075590
ส่วนอันนี้เป็นเวปสถิติคนตาย ผมเปิดดูครั้งแรก ใจหายและรู้สึกถึงมรณานุสติชัดเจนเลยว่า ทำไมพวกเรายังประมาทกันขนาดนี้ ทั้งที่ทุกวินาทีมีคนตายมากกว่าหนึ่งคน ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจเป็นเราก็ได้ ไม่มีใครการันตีได้ว่าเราจะอยู่รอดถึงแก่เฒ่า
http://www.worldometers.info/th/
และนี่คือบทสวดที่พึ่งเรียบเรียงเพิ่มเติม ต่อจากบทสวดหลัก อยากให้ลองพิจารณาเอาไปใช้กันนะครับ สวดแบบบาลี สวดทั้งปีแบบไม่เข้าใจ มันก็ไม่เกิดปัญญานะครับ สำหรับฆราวาสงานยุ่งอย่างพวกเรา แบบไทยล้วนนี่หละ ที่ผมคิดว่า เหมาะสมที่สุด มนุษย์เราถ้าไม่ย้ำเตือนตัวเองบ่อยๆ มันจะประมาทครับ การนำข้อคิดดีๆ มาท่องเป็นประจำ ก็คือ การภาวนาหรือกรรมฐานอย่างหนึ่งนั่นเอง อาจจะเหมาะสำหรับคนช่างคิดและจิตฟุ้งซ่านได้กว่าการท่องคำบริกรรมแค่สองพยางค์ซ้ำไปซ้ำมานะครับ ซึ่งผมเองถ้าทำสมาธิก็เหมาะกับการบริกรรมยาวๆ แบบนี้มากกว่า อ.พร รัตนสุวรรณ ท่านก็สอนแนวทางหนึ่งไว้แบบนี้ครับ ท่านบอกให้หาข้อคิดดีๆ มาพิจารณาไปเรื่อยๆ จนจิตสงบ อีกทางเลือกของคนที่อยากภาวนาแบบง่ายและอาจเหมาะกับจริตของคนยุคเราอีกหลาคนครับ เดี๋ยวสักพักจะอัดเสียงแล้วหละครับ
---------------------------------------------
(บทปลงอุสภะ /มรณานุสติ ควรนำมาท่องและพิจารณา หรือฟังบ่อยๆ)
ร่างกายมนุษย์เต็มไปด้วยของสกปรก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก น้ำเลือด น้ำเหลือง ขี้มูก ขี้หู ขี้ตา อุจจาระ ปัสสาวะ มนุษย์ไม่ต่างจากถุงหนังที่เต็มไปด้วยขี้ คนสวยคนหล่อไม่มีจริง มีแต่ถุงขี้เดินไปมา พร้อมจะปล่อยกลิ่นเหม็นคละคลุ้งได้ตลอดเวลา คนรักไม่ใช่ของแน่นอน หากศีลและบุญไม่เสมอกัน เกิดชาติใหม่ก็ต้องแยกย้ายกลายเป็นคู่ของคนอื่น ความทรมานจากการไม่สมหวังและต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ ความเหนื่อยยากลำบากกายใจทั้งหลายในโลกนี้ ยังเทียบไม่ได้กับความทุกข์ที่ต้องตายกลายเป็นผี ที่ไร้ซึ่งการสะสมบุญกุศลไว้มากพอ
ร่างกายมนุษย์เป็นรังแห่งโรค เป็นของเปราะบาง พร้อมจะป่วยและตายได้ทุกเมื่อ ไม่มีใครเลยสักคน ที่จะพ้นความแก่ ความเจ็บ ความตายไปได้ ทุกครั้งที่เราหายใจเข้าออก จะมีคนพึ่งตายและกำลังจะตายอยู่ที่ใดที่หนึ่งในโลกนี้เสมอ คนตายในวันนี้ มักไม่เคยคิดว่าตัวเองจะต้องตาย ไม่มีใครกำหนดได้ว่าเราและคนที่เรารักจะตายเมื่อไหร่ ควรเร่งทำความดีกับคนที่เรารักและรักเราให้มากที่สุดก่อนที่จะสายไป ไม่ควรประมาทในชีวิต หมั่นสะสมบุญกุศลด้วยการรู้จักเสียสละ ให้ทานรักษาศีล สวดมนต์ฟังธรรม กตัญญูต่อผู้มีคุณ ขวนขวายช่วยเหลือผู้อื่น หมั่นสังเกตมองดูจิตภายใน ว่ากำลังรู้สึกอย่างไร หมั่นรู้สึกตัวทั่วร่างกาย ว่ากำลังขยับหรือตั้งอยู่ท่าไหน ฝึกให้อภัย ทำจิตผ่องใสให้ได้ตลอดทั้งวัน
บุญและจิตผ่องใสมีเมตตาจะนำไปสู่สุคติ ไปเกิดในภพภูมิที่ดีมีแต่ความสุข ความชั่วและจิตเศร้าหมอง โกรธแค้นเห็นแก่ตัวจะนำไปสู่ทุคติ ไปเกิดในภพภูมิที่ลำบากมีแต่ความทุกข์ ลาภ ยศ สรรเสริญ ความรัก ความโกรธ ปัญหาชีวิตและความทุกข์ทั้งหลาย คือของชั่วคราว เป็นแค่ละครชีวิตปลอมๆ ฉากหนึ่ง เป็นเรื่องของโลกนี้ที่ไม่นานต่างคนก็ลืมกันหมดสิ้น นอกเหนือจากบุญกุศลแล้ว ทุกสิ่งที่เคยมี เคยเป็น เคยทำ ไม่มีประโยชน์สำหรับเราอีกเลยในหลายภพชาติข้างหน้า ที่เราต้องเผชิญกันอีกยาวไกล หากยังไม่บรรลุธรรม
โชคดีที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นภพภูมิเดียวที่ทำบุญได้มากและง่ายที่สุด วันนี้เรายังมีชีวิตอยู่ ยังสวดมนต์ ยังฟังธรรมะได้รู้เรื่อง ยังมีโอกาสอีกมากในการสะสมบุญกุศล เพื่อบรรเทาบาปที่เคยผิดพลาดมาในอดีต เพื่อเป็นความสุขความเจริญในโลกนี้และส่งต่อไปถึงโลกหน้า ซึ่งหลายคนไม่มีโอกาสดีแบบนี้อีกแล้ว เพราะเขาเหล่านั้นพึ่งหมดลมหายใจจากไป โดยไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้มีโอกาสสะสมบุญได้ง่ายแบบพวกเราอีกครั้ง
ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต สัตว์ทั้งหลายต้องตายหมดด้วยกันทั้งสิ้น
สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา
เกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป ความสงบระงับดับไปแห่งสังขารนั้น เป็นสุข
(ทำสมาธิต่ออย่างน้อย 5-10 นาทีจะดีมาก เสร็จแล้วกราบลาพระก่อนเลิก 5 ครั้งเหมือนตอนเริ่มต้น)
ปล. การพิจรณาความตายบ่อยๆ ทำให้จิตปล่อยวางได้ง่าย นั่นเป็นหลักของพระพุทธศาสนา คือ จิตผ่องใสได้ต้องปล่อยวางได้ครับ และจิตที่ผ่องใส จะดึงดูดคู่รักดีๆ คนดีๆ ลูกดีๆ งานดีๆ ชีวิตดีๆ สุขภาพดีๆ มาให้ การระลึกถึงความตาย จึงไม่ใช่การแช่งตัวเอง แบบที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจกัน คนพวกนี้ไม่รู้เป็นพุทธได้ยังไง เพราะนี่คือคำสอนหลักของพระพุทธเจ้าที่ท่านให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจ และเชื่อไหม คนที่คิดถึงความตายบ่อยๆ มักจะตายยากและมีชีวิตยืนยาวกว่าคนที่เกลียดกลัวการพูดถึงความตาย แต่เวลาจะตายก็จะตายอย่างใจเป็นสุข ได้ไปสุคติ ไม่หลงตายเหมือนพวกพุทธปลอมที่ชอบยึดถือโชคลางพวกนั้นอีกครับ