http://www.jozho.net
   
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 19/11/2007
ปรับปรุง 05/02/2023
สถิติผู้เข้าชม14,601,643
Page Views22,688,564
Menu
หน้าแรก
งานบรรยายโดยโจโฉ
เกี่ยวกับ&ที่มา..โจโฉ
ตัวอย่างภาพกิจกรรม
รวมเสียงโจโฉ
สนับสนุนโจโฉ
บทความโดยโจโฉ
ติดต่อโจโฉ
เลือกดาวน์โหลด
แนะนำ
มาใหม่ล่าสุด
บอกเล่าเก้าสิบ
สวดมนต์ สมาธิ
Video ธรรม
ข่าวร้อน
.
 

พระอาจารย์ไพศาล เขียนถึง ลพ.ปราโมทย์ ในมติชน เรื่อง เหตุเกิดในวงการกรรมฐาน

(อ่าน 4790/ ตอบ 11)

Tanni

ตามไปอ่านกันได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y8906567/Y8906567.html#1


keolavanh

SAD DHA and LEUAM XAY Pra Ajahn PIESAAN mark mark ka

Anumodhana ka


keolavanh

kop pra khun ka

ANUMODHANA naka

ani

กราบแทบเท้าท่านพระอาจารย์ไพศาล

รู้สึกดีใจว่ามีบุญที่ได้อ่านธรรมะและข้อคิดดีๆจากพระผู้เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมอย่างแท้จริง



ทุกครั้งที่ทำความดี จะอธิฐานจิต ขอให้มีสัมมาทิฏฐิทุกภพทุกชาติ เพราะว่ากลัวบาปกลัวกรรมจริงๆ

ขอบคุณ คุณโจโฉที่นำบทความนี้มาลงให้ได้อ่าน,  อนุโมทนาด้วยคะ

Ordinary People

ANUMOTHANA  KRAP !   _/|\_  _/|\_  _/|\_

tanni

"อย่าเพ่งโทษครูบาอาจารย์" โดย ภูเตศวร บทความเตือนใจนักภาวนา เพื่อความไม่ประมาท

ขออนุญาตนำบทความที่คุณสาวิกาโพสไว้ในลานธรรมมาโพส
พอดีไปอ่านเจอมาเป็นบทความที่ดีทีเดียว.....

.......................

ขออนุญาตคุณภูเตศวร
นำบทความจากคอลัมภ์ "ธรรมะ 5 นาที"
มาเป็นของฝากนักภาวนาทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

หลายวันมานี้มีโทรศัพท์มามากมาย
ถามถึงเรื่องราวของครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ที่กำลังมีชื่อเสียงในแวดวงสอนพระกรรมฐาน
ผู้เขียนเองไม่เคยได้กราบท่าน หรือรู้จักท่านโดยส่วนตัวมาก่อน
หากเคยได้ฟังบรรยายธรรมจากสื่อซีดีมาบ้างเล็กน้อย
และเคยอ่านหนังสือ "ทางเอก" หนังสือที่ท่านเขียนนานมาแล้ว

คำถามส่วนใหญ่ที่ลูกศิษย์ลูกหาอยากรู้
คือความเห็นของผู้เขียนต่อแนวทางการสอนของท่าน ...
ก็ได้แต่ตอบสั้น ๆ "หลวงปู่พรมก็สอนอย่างนั้น"
หลวงปู่พรม พรหมโชโต คือครูบาอาจารย์ที่ผู้เขียนเคารพนบนอบอย่างยิ่ง

ปัจจุบันท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม
ที่คณะศรัทธาทมยันตี - ภูเตศวร ดำเนินการสร้างมาตั้งแต่ปี 2541
สมัยท่านเป็นฆราวาส เคยเป็นโยมอุปัฏฐากหลวงปู่บัว สิริปุณโณ มานานหลายปี

จำได้ว่าหลายปีที่ผ่านมา หลวงปู่พรมได้ปรารภกับผู้เขียนในวันหนึ่ง

"คนทำงานอย่างแม้ว มักหาโอกาสนั่งภาวนาได้ยาก
ปู่จะแนะวิธีปฏิบัติง่าย ๆ ให้นะ"

หลังจากนั้นท่านก็สอนให้เจริญสติด้วยการสังเกตอาการของจิต
อะไรที่กระทบ และจิตรู้สึกอย่างไรให้ "รู้" ตามนั้น

เช่น โกรธ ก็ให้ตามรู้ว่า โกรธ รักให้รู้ว่ารัก เกลียดให้รู้ว่าเกลียด
เกิดราคาก็รู้ว่าเกิดราคะ ฯลฯ

ไม่เพียงหลวงปู่จะย้ำว่า ทำไปเรื่อยสติของเราจะกล้าขึ้นไปเรื่อย ๆ เท่านั้น
ท่านยังรับรองว่า ...
"เป็นการปฏิบัติที่ลัดเลาะตัดตรงที่สุด"
เพราะตรงกับสิ่งที่ท่านเคยสอนมานาน

"ทุกอย่างอยู่ที่จิตใจดวงนี้ จะนรกสวรรค์
หรือ พระนิพพานอยู่ที่ใจดวงนี้เท่านั้น"

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คือบทสรุปของคำตอบของผู้เขียนที่ชัดเจนว่า
แนวทางของครูบาอาจารย์รูปนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อได้คำตอบเช่นนั้น หลายท่านก็เลยขยายความต่อถึงเรื่องราววุ่น ๆ ที่ว่า
เวลานี้มีกระแสโจมตีออกมามากมายหลายประเด็น
และอยากให้ภูเตศวรแสดงความคิดเห็นบ้าง

"อย่าเพ่งโทษครูบาอาจารย์"
ผู้เขียนตอบสั้นตามที่เคยเรียนรู้มา
เพราะปฏิปทาข้อวัตร ข้อปฏิบัติของครูบาอาจารย์แต่ละรูป แต่ละองค์
ย่อมมีข้อผิดแผกแตกต่างกันไปตามวาสนาบารมี
เราไม่รู้ภูมิธรรมของท่านว่าท่านอยู่ระดับไหน ...

"ไปเพ่งโทษท่านระวังจะลงนรก"

ถึงตรงนี้ก็เลยขอยกตัวอย่างบางเรื่องมาเป็นอุทาหรณ์สอนใจพวกเรากันบ้าง
เรื่องนี้มาจากปากคำของคุณอนุชิต ปุรสาชิด
ลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล
วัดป่าสันติกาวาส อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี

วันหนึ่งหลวงปู่บุญจันทร์ พาพระลูกวัดเดินทางไปกราบครูบาอาจารย์
เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ก่อนออกเดินทางท่านก็คอยพร่ำบอกลูกศิษย์
กรณี "เพ่งโทษ" ครูบาอาจารย์ว่า "อย่าทำ อย่าทำ"

ครูบาอาจารย์องค์แรกที่หลวงปู่บุญจันทร์พาไปคารวะคือ
หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล
จากนั้นมุ่งไปวัดนิโครธาราม จ.หนองบัวลำภู ที่ไม่ไกลจากวัดถ้ำกลองเพลนัก
เพื่อกราบนมัสการหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ
ว่ากันว่าวันที่ไปถึง หลวงปู่อ่อนท่านนุ่งผ้าสบง กับอังสะผืนเดียวนั่งเหลาไม้ทำกลดอยู่
เมื่อหลวงปู่บุญจันทร์มาถึง และกราบคารวะหลวงปู่อ่อน
ท่านก็เอาจีวรมาพาดบ่าแล้วรับไหว้

มีพระลูกศิษย์ที่ติดตามหลวงปู่บุญจันทร์ นั่งคิดสงสัย ...

"ก็ไหนใครต่อใครบอกว่าหลวงปู่อ่อนสำเร็จภูมิธรรมชั้นสูงแล้ว
แต่ทำไมไม่มีมารยาทเลย
หลวงปู่เรานุ่งห่มเรียบร้อยมากราบ
แต่ท่านรับไหว้ไม่เรียบร้อยอย่างนั้นจะถูกหรือ?"

คิดเพ่งโทษปุ๊บ หลวงปู่อ่อนก็หันมาปั๊บ ท่านเอ่ยคำทันควัน

"ไอ้พวกตาเนื้อ ตาเน่า จะไปรู้อะไร
ดีแต่มัวเพ่งโทษครูบาอาจารย์อยู่หรือไงหือ?"

กลับถึงวัด ว่ากันว่าหลวงปู่บุญจันทร์ เรียกพระรูปนั้นมาเทศน์อบรมกัณฑ์ใหญ่
ถึงบาปกรรมในการเพ่งโทษครูบาอาจารย์
โดยเฉพาะท่านเป็นถึงพระอริยเจ้าว่า ผลกรรมนั้นสาหัส สากรรจ์เพียงใด?

ถึงตรงนี้จึงอยากบอกท่านทั้งหลายว่า ...

"รู้อะไรยังไม่แน่ชัด อย่าเพิ่งวิพากษ์วิจารณ์
อย่าตื่นข่าวตามคำพูดใคร จะมีโทษมากกว่าคุณ"

ก็ต้องขอบอกตรง ๆ แหละครับ
วันนี้มีญาติโยมที่เป็นผู้รู้เยอะเหลือเกิน
โดยเฉพาะตามเว็ปไซด์ต่าง ๆ รู้มาก
จนถึงขนาดนั่งวิพากษ์ วิจารณ์ครูบาอาจารย์ที่ท่านมีศีลถึง 227 ข้อ
ขณะที่ตัวเองศีล 5 ข้อ ยังกะพร่อง กะแพร่งเลยครับ
พวกตามแห่ก็เลยร่วมแจมกันมันหยด ...
หารู้ไม่ไฟนรกลุกโชติอยู่บนหัวทุกวันโดยไม่รู้ตัว

เมื่อมีปุจฉามา ...
ก็ต้องวิสัชนาไปตามปัญญาขี้เท่อไปตามการณ์ละครับ
สำหรับความเห็นของภูเตศวร คือ ...


"ถ้ามีใครสักคนสอนให้คนถือศีล ... ฝึกสติ
นำพาผู้คนที่จมอยู่แต่กิเลส มาขัดเกลาให้ดีขึ้น ..
ผู้นั้นมีคุณประโยชน์กับชาติ และพระศาสนา
มีค่าควรกราบไหว้บูชา"

สำหรับการดักจิต ดักใจ สอบอารมณ์ลูกศิษย์ลูกหานั้น
ใครคิดอย่างไรไม่รู้
แต่เป็นสิบ ๆ ปีที่ผ่านมา ครูบาอาจารย์ของภูเตศวร
ใช้กระหนาบลูกศิษย์ดื้อ ๆ อย่างเรามานานแล้ว
และเราเชื่ออย่างสุดหัวใจ
ครูบาอาจารย์เก่ง ๆ อย่างนี้มีในเมืองไทยเยอะ

ขนาดท่านรู้ ท่านสอนอย่างนั้น
ทุกวันนี้กิเลสมันยังกดหัวเราซะจนโงไม่ขึ้นเลย

อยากเพิ่มเติมอีกนิดคือ เรื่องของการปฏิบัติเพื่อก้าวสู่ความพ้นทุกข์
อันนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า เป็นไปตามจริตนิสัยของแต่ละบุคคล
อันไหนทำแล้วก้าวหน้า ละวางกิเลส .. มีปัญญาได้เร็ว ก็ทำตามนั้น
ถ้าวิธีการของตนไม่เหมือนของคนอื่น ก็มิได้หมายความว่าของคนอื่นไม่ดีจริงไหม

สำหรับภูเตศวร หลวงปู่เสน ปัญญาธโร ท่านย้ำอยู่เสมอ ...

"เอาแต่โลกธรรมแปดนี่แหละ เข้าใจมัน
อยู่เหนือมันให้ได้ ก็พอได้อาศัยแล้ว"

ทุกวันนี้ก็เลยนึกขึ้นได้ ...
แค่อนุโมทนากับความดีที่ผู้อื่นทำ
และไม่ริษยาความดีมีชื่อเสียงของผู้อื่น
คนเรามันยังทำยากเลย

... เพราะเมตตาธรรมค้ำจุนโลกมันเหลือน้อย ...

จึงอยากฝากทุกคนว่า ควรหมั่นเจริญเมตตาให้มาก ๆ
โลกปัจจุบันจะได้เย็นขึ้นบ้าง
ถ้าไม่เหลือบ่าฝ่าแรงละก็ ให้ละแล้วต่อกันเถิด
เพราะไฟพยาบาทที่ "เผาใจ"
มันร้อนกว่า "ไฟนรก" นะโยม

** ข้อความมาจากกระทู้ในพันธุ์ทิพย์ค่ะ **

jozho

กราบแทบเท้าหลวงพ่อไพศาล วิสาโล


ช่างน่าภูมิใจและดีใจยิ่งที่มีพระดีที่มีวิสัยทัศน์กว้างขวาง


และวิเคราะห์วิจารณ์ ทุกอย่างตามความเป็นจริง


ต้องแบบนี้ซิครับ  ถ้าพูดความจริง ตรงประเด็น ทุกอย่างก็ไม่บานปลาย


แล้วถ้าวิเคราะห์วิจารณ์กันด้วยใจที่เป็นกลางและเปี่ยมไปด้วยเมตตาและอยู่ในศีลธรรมอันดี


ต่อให้จะติ ก็ติเพื่อก่อ ไม่ออกมาเป็นภาพเหมือนจะทำลายล้างกันแบบทุกวันนี้


 


อ่านแล้วสบายใจขึ้นเยอะ  เหตุผลท่านลุ่มลึก จนสิ่งที่ผมสงสัย กระจ่างหมดเลย


ตอนแรกแอบอคตินิดๆ  เพราะคิดว่าท่านจะเขียนโจมตีหลวงพ่อ


เพราะเห็นเจ้าของสำนักพิมพ์ท่านหนึ่ง พยายามดึงท่านลงมาร่วมด้วย


ในคราวก่อนที่เขียนบทความถึง และมีการกล่าวอ้างชื่อท่านไว้ในบทความ


 


พยายามอ่านแบบใจเย็น  กลัวจะรับไม่ได้


แต่ยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ จิตใจยิ่งเบิกบาน


 


กราบขออโหสิกรรม ที่คิดอคติไว้ก่อน


และกราบขอบพระคุณแทนพุทธศาสนาและพุทธศาสนิกชน


ที่ท่านออกมาเมตตาให้ความกระจ่าง


 


หลังจากผมหวังลมๆ แล้งๆ รอให้พระที่มีชื่อเสียง ต่างๆ ว่าท่านจะมีความเห็น หรือจะออกมาจัดการอย่างไร


กับปัญหาที่กระทบกระเทือนวงการพระพุทธศาสนาขนาดนี้


 


กราบนมัสการและอนุโมทนาสุดแรงเกิดครับ


 


ปล. เห็นหรือไม่ ว่าถ้าไปอ่านที่พันทิพย์


เราก็จะได้เห็นคนบางจำพวก ที่แม้เหตุผลจะดีแค่ไหน ก็ไม่เคยรับฟัง


หรือตั้งธงให้ใครผิด ก็จะให้ผิดอยู่แบบนั้น


 


คนดีๆ  ถ้าใช้สติ ใช้ปัญญา ใช้คุณธรรม ในการพิจารณาอ่านบทความนี้


ผมเชื่อเลยว่า จะมีความเห็นและการกระทำมาแนวทางตรงกัน


อย่างว่าแหละนะครับ


 


คติส่วนตัวผมก็ยังใช้ได้ ว่า คน..** คน..**  ป่วยการเอาเหตุผลไปชนะคนพวกนี้


ก็สุดแท้แต่กรรมของใครนั่นแหละ


 


แต่อย่างที่หลวงพ่อท่านเขียนไว้  ทำอะไรก็ต้องทำด้วยเหตุผล


อย่าใช้ความโกรธ เกลียด กลัวเป็นตัวผลักดัน


 


ไม่นึกไม่ฝัน ว่าจะได้อ่านบทความดีๆ แบบนี้


ขอบคุณที่แจ้งข่าว แล้วเอามาให้อ่านกันนะครับ

jozho








 พระอาจารย์ไพศาล เขียนถึง ลพ.ปราโมทย์ ในมติชน เรื่อง เหตุเกิดในวงการกรรมฐาน    


มติชน ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓
เหตุเกิดในวงการกรรมฐาน

พระไพศาล วิสาโล

ในอดีตนั้นถือกันว่าสมาธิภาวนาหรือการทำกรรมฐาน
เป็นเรื่องของสงฆ์  ส่วนฆราวาสนั้นปฏิบัติธรรมด้วยการให้ทาน
และรักษาศีลก็พอแล้ว   แม้จนทุกวันนี้เราก็ยังเห็นฆราวาสเข้า
วัดเพื่อ “ทำบุญ” เป็นส่วนใหญ่  แต่แบบแผนดังกล่าวดูเหมือน
จะจำกัดเฉพาะชาวพุทธไทย  เอกลักษณ์ดังกล่าวจะเห็นได้ชัด
เมื่อไปเยือนวัดในยุโรปหรืออเมริกาที่มีชาวพุทธหลายเชื้อชาติ
ให้ความศรัทธานับถือ   ในขณะที่ชาวพุทธไทยนิยมมาถวาย
อาหารแก่พระสงฆ์(แล้วก็ลากลับ)  ชาวพุทธชาติอื่นโดยเฉพาะ
ชาติตะวันตกกลับสนใจฟังธรรมะและทำสมาธิกันอย่างจริงจัง

อย่างไรก็ตามในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ฆราวาสที่สนใจทำ
กรรมฐานมีจำนวนมากขึ้นและขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็น
ปรากฏการณ์ที่โดดเด่นในแวดวงชาวพุทธไทย  ตามสำนักต่าง ๆ
มีฆราวาสมาทำสมาธิภาวนาอย่างต่อเนื่อง  รวมทั้งจัดอบรม
กรรมฐานกันเอง  บ่อยครั้งก็มีฆราวาสเป็นอาจารย์กรรมฐาน  
ปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นควบคู่กับความสนใจใฝ่ศึกษาธรรม
ทั้งจากการอ่านและการฟังอย่างแพร่หลาย จนหนังสือธรรมะกลาย
เป็นหนังสือขายดี  ขณะที่หน่วยงานหลายแห่งทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ
ก็มีการบรรยายธรรมอย่างสม่ำเสมอ  

ความเครียด ความรุ่มร้อนในจิตใจและความรู้สึกว่างเปล่า
ในชีวิตทั้ง ๆ ที่เต็มไปด้วยวัตถุสิ่งเสพและความสะดวกสบาย
เป็นสาเหตุสำคัญที่ผลักดันให้ผู้คนหันมาหาความสงบจากพุทธศาสนา
แต่ผู้คนยากจะค้นพบคำตอบจากพุทธศาสนาได้หากไม่มีผู้บอกทาง
ที่สามารถสื่อสารกับฆราวาสได้อย่างถึงแก่น  ครั้นค้นพบแล้วจะลงมือ
ปฏิบัติหรือไม่ ก็ยังขึ้นอยู่กับผู้บอกทางว่าได้นำเสนอการปฏิบัติที่สมเหตุ
สมผล น่าเชื่อถือ  ทำได้จริงหรือไม่  แต่เท่านั้นยังไม่พอ ที่ขาดไม่ได้
สำหรับคนสมัยใหม่ก็คือ จักต้องเป็นการปฏิบัติที่ทำได้ง่ายในชีวิตประจำวัน
ยิ่งเป็นวิธีการที่ลัดสั้น ตรงถึงเป้าหมาย ก็ยิ่งได้รับความนิยม
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช
เป็นผู้ที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุดในการชักนำให้ฆราวาสโดยเฉพาะคนชั้นกลาง
หันมาทำกรรมฐานกันอย่างจริงจังและอย่างแพร่หลายชนิดที่ไม่เคยปรากฏ
มาก่อน  ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือคนเหล่านี้มีเป็นจำนวนมากที่ไม่เคยเห็นตัวท่าน
หรือได้รับการชี้แนะจากท่านโดยตรง หรือแม้แต่ฟังคำบรรยายจากปาก
ของท่าน หลายคนอยู่ไกลถึงต่างประเทศด้วยซ้ำ  แต่ได้ปฏิบัติตามคำ
ชี้แนะของท่านอย่างต่อเนื่อง   เท่าที่ทราบมีเป็นจำนวนมากที่ได้รับ
ผลดีจากการปฏิบัติ

ความสำเร็จดังกล่าว (หากจะใช้คำนี้) ส่วนหนึ่งเป็นผลจาก
การใช้สื่ออย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะซีดี ซึ่งสะดวกแก่การเผย
แพร่ในหลายช่องทางรวมทั้งทางอินเทอร์เน็ต  ทำให้เข้าถึง
คนชั้นกลางจำนวนมาก   แม้หนังสือของท่านจะพิมพ์เผยแพร่มิใช่น้อย
แต่เชื่อว่าผู้คนรู้จักพระอาจารย์ปราโมทย์ผ่านซีดีมากกว่าหนังสือ
 และที่ศรัทธาปฏิบัติตามแนวทางของท่านก็เพราะซีดีมากกว่า
หนังสือเช่นกัน

อย่างไรก็ตามเหตุผลที่สำคัญกว่านั้นน่าจะได้แก่  
แนวทางการปฏิบัติของท่าน ที่เน้นการดูจิต หรือตามรู้สภาวะ
และอาการต่าง ๆ ของจิต ด้วยใจที่เป็นกลาง  ไม่กดข่มอารมณ์ที่
ไม่พึงปรารถนา และไม่แทรกแซง หรือควบคุมบังคับจิตเพื่อให้เกิด
ความสงบ   ซึ่งรวมถึงการไม่ “กำหนด” หรือ เพ่งที่รูปหรือนามใดๆ
 กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ “รู้” โดยไม่ต้อง “ทำ”อะไรทั้งสิ้น

วิธีการดังกล่าว (ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าจิตตานุปัสสนาตาม
หลักสติปัฏฐานสี่)  เหมาะกับคนชั้นกลางซึ่งมีนิสัยคิดฟุ้งปรุงแต่ง
มากจนยากที่จะทำใจให้สงบดิ่งลึก   อีกทั้งยังสามารถปฏิบัติได้ใน
ชีวิตประจำวันโดยไม่เลือกสถานที่และบรรยากาศ   ทำให้กรรมฐาน
กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตได้โดยไม่ต้องหลีกเร้นไปอยู่ป่าหรือเข้า
คอร์สปฏิบัติธรรม   ด้วยเหตุนี้หลายคนที่นำวิธีการดังกล่าวไปปฏิบัติ
จึงเห็นผลได้เร็ว คือมีสติรู้ตัวมากขึ้น   จิตใจปลอดโปร่งกว่าเดิม  
เห็นกายและใจชัดขึ้น การบอกกล่าวจากปากต่อปาก โดยมีซีดีคำ
บรรยายของท่านเป็นสื่อการสอน ทำให้ผู้คนหันมาปฏิบัติตามแนว
ทางของท่านมากขึ้น ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ที่เคยปฏิบัติแนวอื่นแต่ไม่
ก้าวหน้าเพราะใช้วิธีเพ่งหรือบังคับจิตจนเครียด  

จุดเด่นอีกประการหนึ่ง ก็คือ การสอนของท่าน ซึ่งนำเสนอ
แนวทางดังกล่าวในฐานะที่เป็นวิถีสู่ความพ้นทุกข์   จากการดูจิต
 สู่การเห็นรูปและนามด้วยสติ  ตามมาด้วยการเห็นรูปและ
นามด้วยปัญญา  คือเห็นไตรลักษณ์จนละวางความยึดติดถือมั่น
ว่ารูปและนามเป็นตัวตน  คำสอนของท่านพูดถึงการบรรลุธรรม
การหลุดพ้น และมรรคผลนิพพานบ่อยครั้ง  มิใช่ในฐานที่เป็นสิ่ง
เหลือวิสัยของมนุษย์  หากเป็นอุดมคติที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้
และควรทำให้ได้ในชีวิตนี้  คำสอนดังกล่าวได้ทำให้ผู้คนจำนวน
มากซึ่งเคยไกลวัดหันมาสนใจพระนิพพาน   กล่าวได้ว่าไม่มีใคร
ที่สามารถจุดประกายให้ฆราวาสยุคนี้ปรารถนาและบำเพ็ญเพียร
เพื่อพระนิพพานได้มากเท่ากับพระอาจารย์ปราโมทย์

ทั้งแนวทางปฏิบัติและเนื้อหาคำสอนของท่านตามที่กล่าว
มาข้างต้น  สามารถหาอ่านได้ไม่ยากจากหนังสือของท่าน
แต่สิ่งที่ไม่ปรากฏในหนังสือ ก็คือวิธีการสอนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ
ตัว ซึ่งจะประจักษ์ได้ก็จากการไปฟังการบรรยายของท่านตาม
สถานที่ต่าง ๆ เท่านั้น  นั่นก็คือ การบรรยายด้วยถ้อยคำที่เข้าใจ
ง่าย เป็นกันเอง และที่ขาดไม่ได้ก็คือ การ “ทักจิต”ผู้ที่มา
“ส่งการบ้าน”  ว่า หลงไปแล้ว หรือกำลังเพ่ง หรือ “ตื่น”แล้ว  
เชื่อว่าวิธีนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผู้คนมาฟังคำบรรยายของท่าน
อย่างเนืองแน่นทุกครั้ง เพราะต้องการสอบถามให้แน่ใจว่าตน
ปฏิบัติถูกต้องตามคำสอนของท่านหรือไม่  สำหรับผู้ฟังคนอื่น ๆ  
การทักจิตของท่านยังช่วยให้เข้าใจการปฏิบัติตามคำสอน
ของท่านดีขึ้น   เนื้อหาและบรรยากาศส่วนนี้ถูกถ่ายทอดลงซีดี
ซึ่งทำให้เป็นที่นิยมในวงกว้างกว่าหนังสือ  

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทักจิตของท่านย่อมทำให้
ศิษยานุศิษย์ (รวมทั้งลูกศิษย์ทางซีดี)เห็นท่านอยู่ในสถานะ
พิเศษเหนือคนธรรมดา ดังนั้นจึงเกิดศรัทธาปสาทะในตัวท่านมากขึ้น
  หากนี้เป็นจุดแข็ง มันก็เป็นจุดอ่อนในเวลาเดียวกัน  เพราะเป็นเหตุให้
ท่านถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่อยมาโดยเฉพาะจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ
แนวทางปฏิบัติของท่าน  จนถึงจุดหนึ่งก็ขยายตัวเป็นการต่อต้านท่าน
อย่างชัดเจน ที่น่าประหลาดใจคือแกนนำหลายคนเคยเป็นลูกศิษย์หรือ
ผู้สนับสนุนคำสอนของท่านอย่างแข็งขันมาก่อน

เหตุผลข้อหนึ่งที่ผู้ต่อต้านใช้ในการโจมตีท่านก็คือ การอวดอุตริ
มนุสสธรรม คือธรรมล้ำมนุษย์หรือคุณวิเศษที่เหนือปุถุชน ซึ่งโดยทั่วไป
หมายถึงการอวดอ้างว่าเป็นอริยบุคคล  การกระทำดังกล่าวถือว่า
เป็นความผิดตามพระวินัย หากอวดคุณวิเศษดังกล่าวทั้ง ๆ ที่ตนเอง
ไม่มี ผู้อวดนั้นย่อมขาดจากความเป็นพระ   กรณีพระอาจารย์
ปราโมทย์นั้น แม้ท่านจะแสดงให้เห็นว่ามีการทักจิตอยู่บ่อยครั้ง
 แต่ก็ยากที่จะชี้ชัดว่าเป็นการอวดอุตริมนุสสธรรมตามที่ระบุใน
พระวินัย  (แม้จะตีความเช่นนั้นแต่ถ้าท่านมีคุณสมบัติดังกล่าวจริง
ก็เป็นอาบัติเล็กน้อย) จะว่าไปแล้ววิธีการดังกล่าว ครูบาอาจารย์
หลายท่านทั้งอดีตและปัจจุบันก็ทำเป็นอาจิณ   ส่วนที่กล่าวว่าท่าน
อวดอ้างเป็นอริยบุคคลนั้น   ก็เป็นเรื่องของการตีความจากคำบรรยาย
เมื่อท่านพูดถึงสภาวะหรือสิ่งที่พบเห็นจากการปฏิบัติ  ที่ผ่านมายัง
ไม่มีการอ้างคำพูดใด ๆ ของท่านที่เป็นหลักฐานสนับสนุนข้อ
กล่าวหาดังกล่าวอย่างชัดเจน

หากไม่นับสาเหตุส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวน
ไม่มากนักแล้ว  มูลเหตุที่แท้จริงของความขัดแย้งที่ขยายวงน่า
จะเป็นเพราะแนวทางการปฏิบัติและวิธีการสอนของท่านนั้นขัดกับ
แบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่ดั้งเดิม  อาทิ การดูจิตโดยไม่เน้น
ที่รูปแบบ   การทักจิตผู้ปฏิบัติในที่สาธารณะท่ามกลางผู้คนนับร้อย
(แทนที่จะทำในที่รโหฐาน)  การสอนกรรมฐานโดยไม่เน้นพิธีรีตอง
(ไม่มีพิธีขอกรรมฐาน  และใครจะแต่งตัวมาฟังธรรมที่สำนักของท่าน
อย่างไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องแต่งขาว และไม่มีการสวดมนต์รับศีล )
ซึ่งแม้ถูกจริตคนหนุ่มสาวแต่ไม่เป็นที่นิยมของคนแก่วัด    
ยิ่งกว่านั้นการที่ท่านวิจารณ์การปฏิบัติที่เน้นการเพ่ง กำหนด
หรือควบคุมบังคับจิต อันเป็นที่นิยมในหลายสำนัก ย่อมทำให้เกิด
ปฏิกิริยาต่อต้านท่าน   แต่ปฏิกิริยาดังกล่าวจะไม่มากหาก
ลูกศิษย์ยังคงปฏิบัติในสำนักดังกล่าว แทนที่จะแห่กันไปปฏิบัติ
ตามแนวทางของท่าน หรือกลับมาตั้งคำถามกับการปฏิบัติของ
สำนักเดิม

แม้แกนนำในการต่อต้านจะเป็นฆราวาส  แต่เชื่อว่ามี
พระจำนวนไม่น้อยสนับสนุนหรือขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง  เพื่อ
ความเป็นธรรม ควรกล่าวด้วยว่าหลายท่านทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
บางท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  แต่ส่วนใหญ่
รับไม่ได้กับแนวทางการปฏิบัติและวิธีการสอนของพระอาจารย์
ปราโมทย์ ซึ่งหลายท่านมองว่าเป็นพระที่ยังมีพรรษาน้อย  
และปฏิบัติสวนทางกับธรรมเนียมหลายประการพระป่าโดยเฉพาะ
สายหลวงปู่มั่น   ข้อกล่าวหาอีกประการหนึ่งซึ่งร้ายแรงมาก
ในสายตาของพระป่าก็คือ การดัดแปลงคำสอนของครูบาอาจารย์
ซึ่งในที่นี้หมายถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

พระอาจารย์ปราโมทย์เป็นผู้ที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจาก
คำสอนของหลวงปู่ดูลย์  และนำคำสอนของท่านมาเผยแพร่
โดยอธิบายให้เข้าใจได้อย่างเป็นระบบ ทำให้หลวงปู่ดูลย์เป็น
ที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่คนรุ่นใหม่  อย่างไรก็ตาม
อรรถาธิบายของท่านนั้นไม่ตรงกับที่ลูกศิษย์หลวงปู่ดูลย์หลาย
ท่านเข้าใจ   หลายท่านเชื่อมั่นว่าท่านเข้าใจหลวงปู่ดูลย์ได้ถูก
ต้องกว่า  จึงไม่พอใจพระอาจารย์ปราโมทย์ที่ “สอนผิดครู”  
จนบางท่านถึงกับกล่าวหาพระอาจารย์ปราโมทย์ว่าเป็นศิษย์
คิดล้างครู  สำหรับท่านเหล่านี้คำสอนของหลวงปู่ดูลย์เป็นสิ่งที่
ต้องรักษาไว้ในรูปแบบเดิมหรือถ่ายทอดตามตัวอักษรอย่าง
เคร่งครัด

มองในแง่หนึ่ง ความขัดแย้งกรณีพระอาจารย์ปราโมทย์
เป็นความขัดแย้งระหว่างระหว่าง “ใหม่” กับ “เก่า” (ไม่ต่างจาก
ความขัดแย้งระหว่างพระอาจารย์พรหมวังโสกับสำนักหนอง
ป่าพงกรณีบวชภิกษุณี) จะพูดว่า โดยพื้นฐานแล้วนี้คือความขัด
แย้งระหว่างแนว “ปฏิรูป”กับ แนว “อนุรักษ์นิยม” ก็ย่อมได้
ซึ่งเป็นธรรมดาในทุกวงการและเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย  
เมื่อ ๖๐ ปีก่อนท่านอาจารย์พุทธทาสก็เคยถูกโจมตีว่าเป็น
คอมมิวนิสต์เพราะการสอนที่แปลกใหม่ของท่าน ที่กระตุก
ความรู้สึกของผู้ฟัง (เช่น กล่าวว่าพระรัตนตรัยหากนับถือ
ไม่ถูกต้องก็เป็นภูเขาขวางกั้นทางสู่พระนิพพาน)  แต่
ความขัดแย้งเป็นแค่ความแตกต่าง ที่ไม่ควรนำไปสู่
ความแตกแยก หรือการเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน  ที่สำคัญก็
คือไม่ควรให้ความโกรธเกลียดหรือกลัวเป็นตัวผลักดัน
การกระทำ

เมื่อมีความแตกต่างทางความคิดหรือการปฏิบัติ
ควรโต้กันด้วยเหตุผล แทนที่จะใช้วิธีโจมตี ใส่ร้าย หรือข่มขู่
คุกคาม  แม้จะทำด้วยความปรารถนาดีคือเพื่อปกป้องธรรมะ  
แต่หากใช้วิธีอธรรมแล้ว   ผลร้ายย่อมตกอยู่กับธรรมะ
อย่างไม่ต้องสงสัย

Page : 1
Lock Reply
 
 หน้าแรก  รวมเสียงโจโฉ  บทความ  ภาพกิจกรรม  สนับสนุนโจโฉ  ติดต่อ
view