http://www.jozho.net
   
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 19/11/2007
ปรับปรุง 05/02/2023
สถิติผู้เข้าชม14,605,070
Page Views22,692,806
Menu
หน้าแรก
งานบรรยายโดยโจโฉ
เกี่ยวกับ&ที่มา..โจโฉ
ตัวอย่างภาพกิจกรรม
รวมเสียงโจโฉ
สนับสนุนโจโฉ
บทความโดยโจโฉ
ติดต่อโจโฉ
เลือกดาวน์โหลด
แนะนำ
มาใหม่ล่าสุด
บอกเล่าเก้าสิบ
สวดมนต์ สมาธิ
Video ธรรม
ข่าวร้อน
.
 

คนเราเกิดมาทำไม

(อ่าน 4860/ ตอบ 6)

เด็กน้อย

คิดว่า คนเราเพราะมีความทุกข์ ก็เลยตั้งคำถามขึ้นมากับตัวเองว่า เราเกิดมาทำไม
ต้องมีสักครั้งนึงในชีวิตที่คนเราจะถามอย่างนี้กับตัวเอง
พระพุทธเจ้าก็อาจจะเจอทุกข์มา แล้วก็ถามอย่างนี้กับตัวเองก็ได้นะ
แบบว่าเห็นความทุกข์ของมนุษย์ แล้วก็คิดว่า ทำไมคนเราต้องเกิดมา

ตอนอยู่ ม ต้น หนูคิดว่าคนเราเกิดมาก็ต้องตาย สำคัญตอนมีชีวิตอยู่ 
คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุขก่อนจะตาย

พอโตมาหน่อยก็คิดว่า ไม่ใช่หละ
ตอนนั้นไปถามพ่อว่า คนเราเกิดมาทำไม
พ่อบอกว่า ไม่มีใครตอบได้ว่าคนเราเกิดมาทำไม เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้


หมายความว่ามนุษย์เราเลือกไม่ได้ว่า จะเกิดดี หรือไม่เกิดดี ตัวเราไม่ใช่คนกำหนด
พ่อบอกว่า "คนเราเกิดมาทำไม ตอบไม่ได้ แต่ตอบได้ว่า คนเราอยู่เพื่ออะไร

ตั้งแต่นั้นก็เปลี่ยนมาคิดหาคำตอบใหม่ว่า คนเราอยู่เพื่ออะไร

หนทางดับทุกข์ของหนูๆ มองว่าต้นเหตุแห่งทุกข์คือการมีชีวิต การดับทุกข์ก็คือการดับชีวิต
อยากรู้เหมือนกันว่าดีไหม

ทางพุทธบอกฆ่าตัวตายเป็นบาป หมายถึง เป็นกรรม
ฆ่าตัวตายไม่ทำให้หลุดจากวัฏจักร ของกฎแห่งกรรม

กฎแห่งกรรมตามที่เข้าใจ หมายความว่า
ทุกๆการกระทำใดของเรา จะมีผลตามมาเสมอ
เป็นวิทยาศาสตร์นะเนี่ย

ทางพุทธจึงว่า ฆ่าตัวตาย ก็ต้องมีผลตามมา
บอกว่าตกนรกบ้าง หรือเกิดมาใช้กรรมบ้าง

อันนี้แหละที่คาใจตลอด
ตกลงมันมีจริงไหม เรื่องตายแล้วเกิดใหม่เนี่ย
จะพิสูจน์ก็ไม่ได้
คนที่ตายไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาบอก


โจโฉ

จะปล่อยวางได้จริงๆ ต้องเพราะจิตเข้าใจสภาวะธรรมจริงๆ
เกิดมาทำไม ..

หากจะถามคำถามนี้ ต้องถามกลับว่า
แล้งเราหละ ยังมีความต้องการต่างๆ อยู่หรือไม่

จิตเขาทำหน้าที่ตามข้อมูลที่เราสะสมไว้
หากเรายังต้องการกิน ต้องการมีความสุข ต้องการกลิ่นหอม รูปสวย รสอร่อย
หากต้องการทำงาน ต้องการเดิน ต้องการอะไรต่างๆ

ข้อมูลพวกนี้ สะสมในจิต แล้วมันเป็นพื็นฐานในการสร้างภพ สร้างภูมิให้ในชาติต่อไป

หากคุณไม่ต้องการแล้ว ด้วยจิตใต้สำนึกไม่ต้องการอะไรจริงๆ
เพราะจิตเห็นจิตชัดเจนแล้วว่า ตัวเราจริงๆ แล้วไม่มี ทุกอย่างไม่เที่ยง เราบังคับจิตไม่ได้
นั่นจึงทำให้เกิดความไม่ต้องการได้อย่างแท้จริง จนไม่สามารถมีเชื้อไปเกิดที่ไหนได้อีกแล้ว

ทุกศาสนาสอนตรงกัน คือการฆ่าตัวตายเป็นบาป  และบาปกว่าการฆ่าผู้อื่นเสียอีก

อยากรู้อะไร อย่าเอาแต่อ่าน ต้องปฏิบัติให้รู้จริง 
หลายคนตีความตามตำรา แล้วก็เพี้ยน  เพราะจิตไม่สูงพอที่จะเห็นรายละเอียดที่อยู่เหนือตัวหนังสือ

ได้แต่คาดเดาไปตามสามัญสำนึก ที่ยังเป็นแค่คนธรรมดา ใช้ตรรกะ แบบคนธรรมดา
หรือบางทีก็เผลอไปใช้ตรรกะแบบสัตว์ด้วยซ้ำ 

มันต้องใช้ตรรกะแบบผู้มีศีล และมีบารมีธรรม ซึ่งมันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามการสะสม
ทั้งทาน ศีล ภาวนา ตามลำดับ

ธรรมะ ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการท่องจำ หรือตีความ 
แต่ต้องใช้กำลังจิต และฝึกฝนอินทรีย์ มีบารมีธรรมหลายๆ ด้านพอสมควรก่อน

เท่าที่ผมอ่านที่คุณมาเขียนๆ ไว้  แล้วอดเป็นห่วงไม่ได้
ว่ายังอีกไกล กว่าจะเข้าใจว่าชีวิตและธรรมะคืออะไร

ซึ่งความจริงมันง่ายๆ และเบสิกมาก 
แต่เหมือนคุณพยายามจะตีความด้วยหลักการที่คุณคิดว่าใช่ .. แต่มันยังไม่ใช่

เหมือนเด็กอนุบาลนะ จะมานั่งวิจารณ์การเมือง 
หากไม่โตพอ ก็ไม่มีทางเข้าใจได้หรอก

เด็กที่เรียน นิติฯ  หลายคน ลองไปถามดูซิ จริงๆ ยังเข้าใจการเมืองไม่ได้จริงๆ 
พวกเรียนปรัชญาเหมือนกัน  อายุ 20 ต้นๆ  ยังไม่มีประสบการณ์ชีวิตอะไรมาเท่าไหร่เลย
ยังบ่มอินทรีย์ไม่แก่กล้าเลย

ก็มักจะมองการเมืองและปรัชญาไปในทางที่ผิดๆ  และคิดได้ไม่ลึกซึ้งพอ

บางอย่างมันต้องรอเวลานะครับ  ยกเว้นบางคนที่บารมีแก่กล้ามาแต่ชาติก่อนๆ  สะสมมาเยอะจริงๆ
แค่เจ็ดขวบ ก็บรรลุอริยผลได้อย่างรวดเร็ว


เกิดมาทำไม จริงๆ ถ้าเข้าใจหลักว่า ทำไมถึงต้องเกิด แล้วอะไรเป็นตัวนำมาเกิด น่าจะเข้าใจได้ง่ายกว่า

คนอยากทำดี อยากช่วยเหลือคนอื่น
หากยังมีความต้องการ ก็ต้องได้เกิดมาช่วยเหลือผู้อื่น จนกว่าจะเลิกคิดจะช่วยเหลือนั่นแหละ
นี่คือที่มาของพระโพธิสัตว์ที่ท่านอธิฐานจิต เพื่อกลับมาเกิดวนเวียนไปมา เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์
บางท่านพอถึงจุดหนึ่ง ก็อธิฐานลา  ฯลฯ

ในระดับคนธรรมดา ไม่ต้องอธิฐาน แต่อาศัยวิบาก และสันดานของแต่ละคนเป็นตัวนำเกิด
สะสมความชอบ ความชัง ความต้องการอะไรไว้ มันก็นำไปเกิดแบบนั้น

เรื่องพวกนี้ลึกซึ้งมาก หากจะอธิบายด้วยตัวอักษรไม่กี่หน้า  คงทำได้ยาก

ตัณหา นำมาเกิด น่าจะเข้าใจได้ง่าย

หากคุณยังมีความต้องการสุข ต้องการหนีทุกข์  มีความต้องการต่างๆ ที่บางครั้งเราก็กดข่มมันไว้ จนมองไม่เห็น
ของพวกนี้แหละ ที่นำเรามาเกิด

แต่อย่าคิดว่า การต้องการหนีทุกข์ เป็นสิ่งไม่ดีนำมาเกิด นี่มันคือบันไดขั้นหนึ่ง
เหมอืนอยากฟังธรรมะ เป็นตัญหา แต่ก็เป็นกิเลสตัวดี ทีคล้ายบันไดให้เราก้าวข้าม
หรือเป็นเรือที่ให้เราข้ามฟาก พอถึงฝั่งแล้ว เราก็ไม่ต้องใช้เรืออีกต่อไป

เขาจึงมีคำกล่าวว่า อาศัยกิเลสเป็นปัจจัยให้ละกิเลส 

เรื่องตายแล้วไปไหน หากเราไม่มั่นใจ แล้วสอนกันว่า ไม่แน่ใจว่ามีจริงหรือเปล่า
แต่หากมีจริง อย่างนั้น ไม่จริงอย่างนี้

สอนแบบนีี้ สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดผลเสียอย่างมาก
เพราะทำให้ผู้ฟัง ไม่แน่ใจไปด้วย

อ.พร ท่านเคยสอนว่า  หากเราจะสอนเด็ก แล้วเราเองก็ยังไม่แน่ใจ แล้วเด็กมันจะเชื่อ จะเข้าใจได้อย่างไร
เป็นคนพุทธ มันต้องเรียนรู้ให้เข้าใจว่าโลกโอปปาติกะ โลกหลังความตายมันมีอยู่จริง
แล้วกล้าฟันธงไปเลยว่า มันมีจริง ไม่ใช่ว่า อาจจะมี หรือน่าจะมี เพราะเขาสอนกันมาอย่างนั้น

หากปฏิบัติถึงจุดหนึ่ง หรือศึกษาถึงจุดหนึ่ง จะเชื่อมั่นสุดหัวใจว่ามันมีจริง แล้วพูดได้เต็มปากว่ามันมีจริง
แม้ไม่เคยตาย ก็เข้าใจได้ว่ามีจริงอย่างไร

มีคนสักกี่คนที่เคยไปเหยียบดวงจันทร์  แล้วมองกลับมาเห็นว่าโลกกลม
มีแค่ไม่กี่คน แต่ทำไมเราทุกคนเชื่อว่าโลกมันกลม แล้วจักรวาลเป็นอย่างไร
เพราะะเราอาศัยความน่าเชื่อถือของคนทดลอง องค์กรต่างๆ และเชื่อในกลอ้งทีวีที่ถ่ายทอดกลับมา
นี่แม้เราไม่เคยไปนอกโลก แต่เราก็เชื่อว่าโลกกลม

เหมือนกัน เรายังไม่ได้ตาย (ซึ่งจริงๆ ตายมาแล้วหลายรอบ นั่นเลยทำให้เรารู้สึกได้เองลางๆ ว่าโลกหน้าเหมือนจะมีจริง)
เรายังไม่ตาย แต่เราก็สามารถเทียบเคียงได้จาก พระผู้ปฎิบัติดี ผู้ทรงคุณธรรมที่ท่านบอกเล่า ว่าท่านไปเห็นมา
หรือจากหลักการทางศาสนา เมื่อนำมาปฏิบัติ แล้วเทียบเคียงกัน  ก็จะเข้าใจได้เองว่าโลกหน้ามีจริงอย่างไร
ไม่ต่างกับที่เราเข้าใจว่าโลกกลม เพราะเชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์

เปรียบเทียบกันนะ  หากเราจะขายของ ถ้าเราไม่เชื่อจริงๆ ว่าสินค้าดีจริงๆ
มันจะทำให้ลูกค้าเชื่อได้แค่ไหน จะโน้มน้าวให้เขาอยากซื้อได้แค่ไหน
เหมือนกันหากเราจะสอนศาสนา แล้วตัวเราเองก็ยังไม่เชื่อ ยังไม่แน่ใจ
มันจะมีผลไปถึงคนฟังแค่ไหน  พลังงานแห่งศรัทธาและความเชื่อมันมีอยู่จริง 


อ.พร บอกว่า โมเสส ใช้แค่พลังศรัทธาอย่างเดียว จึงนำคนยิวพ้นหายนะได้ ทังที่มีแค่ไม้เท้าอันเดียว

อยากรู้ว่า นรกสวรรค์ มีจริงหรือไม่
ผมแนะนำให้อ่านงานเขียนของ อ.พร รัตนสุวรรณ หลายๆ เล่ม
แล้วอาจจะเข้าใจได้ไม่ยาก  

ประเด็นหนึ่งที่ท่านใชั้สอน คือการเปรียบเปรย กับตอนหลับแล้วฝัน
ว่าในโลกความฝันเราลืมไปเลยว่า มีร่างกายอีกอัน นอนหลับอยู่
เราโลดแล่นในความฝัน เหมือนเป็นอีกโลก เสมือนจริง มีทุกข์ สุข หิว มีทุกอย่างเหมือนตอนลืมตา
แล้วทุกอย่างก็เกิดจากจิตเรา ที่สะสมดีหรือชั่วจนแสดงผลออกมา

คนเห็นแก่ตัว ฝันไปก็ยังเห็นแก่ตัวเหมือนเดิม แล้วก็จะทุกข์ใจเพราะความเห็นแก่ตัวในความฝันของตัวเอง
มันปิดกันไม่ได้ เราเคยคิดว่าปกติเราเป็นคนดี ไม่ขโมยของใคร
แต่ในความฝัน บางครั้งเรากลับขโมย กลับเป็นคนละคน  เพราะในความจริง เราบังคับกดข่มมันไว้

นรก สวรรค์ เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนหลับไปแล้วไม่ยอมตื่น แล้วตกนรก ก็เหมือนฝันร้ายไม่ยอมตื่น นั่นแหละ
ใครฝันร้าย จะรู้ว่ามันทรมานแค่ไหน โมโหใครจะฆ่ามัน มันก็ไม่ตายซะที บางทีก็วิ่งหนีอยู่นั่น วิ่งไม่พ้น ทุกข์ใจมาก

แต่ขณะมีชีวิต เราตื่นได้ เพราะร่างกายกระตุ้นให้ตื่น เราเปลี่ยนอารมณ์ได้
โลกหลังความตายก็ไม่ต่างจากโลกในความฝัน แต่ละเอียดซับซ้อนกว่ากันเยอะมาก


รักษาศีล สวดมนต์ เดินจงกรม เป็นประจำ  ยกระดับจิตขึ้นมาก่อนนะครับ
อย่าเห็นธรรมะเป็นของตื้นๆ ที่ใช้ระดับจิต ระดับสติปัญญาแบบคนทั่วไปแล้วจะเข้าใจนะครับ
มันต้องสะสมบารมีแต่ละด้านเยอะมาก กว่าจะเข้าใจธรรมะได้หัวข้อหนึ่ง 

มันไม่เหมือนความรู้ทางโลกครับ


การสงสัยแล้วหาคำตอบเป็นสิ่งที่ดี แต่การสงสัยแล้วหาคำตอบโดยที่ตัวเองก็มีธงอยู่แล้ว มันไม่ได้ส่งผลดีเท่าไหร่นะครับ
เหมือนแค่เราจะหาคนอื่นมาช่วยยืนยันความเชื่อของเราให้ถูกต้องเท่านั้น

ผมเอง โชคดีที่เข้าใจอะไร และไม่เคยปิดกั้นตัวเอง ฟังครูบาอาจารย์หลากหลาย แล้วนำมาประเมินผลว่าจริงหรือไม่
ไม่ด่วนสรุป ไม่ด่วนปฏิเสธ  และแถมซ้ำโชคดีมาก เพราะได้เจอสิ่งลึกลับกับตัวเองเยอะมาก

เพราะบางทีผมก็เข้าใจนะว่า คนบางคน แม้จะเข้าใจตามตำรา แต่หากไม่เคยเจอของจริง
ก็ไม่มีวันจะเชื่อได้สนิทจริงๆ ได้เหมือนกัน 

ลองไปโหลดที่ผมทำเรื่องบทสวดอุปปาตะสันติมาฟังเสริมนะ  มีบางแง่มุมที่จะทำให้เข้าใจง่ายขึ้น

Apolon

อูย พูดมาก ลืมตอบไปเลย ว่า เกิดมาทำไม
ผมเชื่อว่า เราเกิดมา เพื่อศึกษาธรรมครับ ทำไมถึงเชื่อเช่นนั้น เพราะความรู้ทางธรรม มันเป็นอริยทรัพย์ มันสืบต่อไปได้ยังชาติต่อๆไป
ศีกษาธรรม คืออะไร คือ ศีลสิกขา จิตสิกขา ปัญญาสิกขา
ศึกษาธรรม แล้วได้อะไร ได้รู้ความจริงของชีวิต คือ กายและใจเป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา และละวางได้ ตามลำดับตามชั้นตามภูมิ

รายละเอียดมีเยอะครับ ดีแล้วล่ะครับที่คิดได้ว่า เกิดมาทำไม  อิอิ ผมแนะนำให้ลองอ่านหนังสือ เสียดายคนตายไม่ได้อ่าน เำพราะอธิบายได้ดีมากครับ

เจริญในธรรมครับ

Apolon

ขอโอกาสครับ เพราะเคยมีประสบการณ์ที่คิดไร้สาระแบบนี้เหมือนกัน

ไม่อยากเกิด แต่ก็ต้องเกิด เพราะไม่เป็นตามอยาก แต่เป็นไปตามกรรม  นั่นคือชนกกรรม  เชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไร ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้มีกาย มีใจแล้ว
เราเกิดมาแล้ว เราจะทำอะไรกับกายนี้ใจนี้ล่ะ

เพราะว่า จริงๆแล้ว แม้จะเชื่อว่า ตายแล้วไม่เกิด ทุกวันนี้เราก็จะเป็นคนดี
หรือว่า เชื่อว่าตายแล้วเกิด เราก็จะเป็นคนดี

ทำไมล่ะ ก็เราเป็นคนดี   ทำความดีแล้วมีความสุข สุขกายสบายใจไร้เวรภัย  ถือศีล บริจาคทาน อันนี้ใครก็รู้ว่าควรทำ ไม่ว่าคนมีศาสนาไม่มีศาสนา เค้าก็เป็นคนดีกันทั้งนั้น

เลือกเชื่อในสิ่งที่เราพิจารณาแล้ว ฉลาดเลือก  ไม่ใช่ เชื่อว่า ตายแล้วสูญ แล้วทำชั่วช้าสามานย์   โทษภัยเราก็ไ้ด้รับตั้งแต่ยังไม่ตาย ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ความไม่ดีต่างๆตามหลอกหลอน หลับก็ฝัน ตื่นก็คิด ทุกข์ไปจนวันตาย ตายแล้วสูญจริงอย่างที่เชื่อหรือเปล่าก็ไม่รู้ เลือกแบบนี้ฉลาดหรือไม่ฉลาดล่ะ

แต่ถ้าเลือกที่จะเชื่อว่า ทำความดี มีความสุข ตั้งแต่ยังไม่ตาย สุขทุกวัน นึกถึงก็สุข ผู้คนก็รัก พ่อแม่ก็ชื่นใจ สุขตั้งแต่วันนี้ สุขเดี๋ยวนี้ทุกวัน  ไม่ดีเหรอ ชาติหน้าจะมีไม่มี ก็ไม่เป็นไรนี่ เราทำความดี ถ้าชาติหน้ามี เราก็ได้รับผลดี อาจได้สวรรค์เป็นรางวัล  HappyEnding ไม๊ล่ะ  เลือกแบบนี้ฉลาดกว่าไม๊

และถ้าเราเลือกที่จะสึกษาธรรมให้รู้จริงไปเลย ก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่   เกิดเป็นคนมีสมองตรองคิดเองได้  ชีวิตตัวเอง เลือกเอาละกัน 
Page : 1
Lock Reply
 
 หน้าแรก  รวมเสียงโจโฉ  บทความ  ภาพกิจกรรม  สนับสนุนโจโฉ  ติดต่อ
view