http://www.jozho.net
   
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 19/11/2007
ปรับปรุง 05/02/2023
สถิติผู้เข้าชม14,589,605
Page Views22,675,046
Menu
หน้าแรก
งานบรรยายโดยโจโฉ
เกี่ยวกับ&ที่มา..โจโฉ
ตัวอย่างภาพกิจกรรม
รวมเสียงโจโฉ
สนับสนุนโจโฉ
บทความโดยโจโฉ
ติดต่อโจโฉ
เลือกดาวน์โหลด
แนะนำ
มาใหม่ล่าสุด
บอกเล่าเก้าสิบ
สวดมนต์ สมาธิ
Video ธรรม
ข่าวร้อน
.
 

พระพุทธศาสนากับมังสวิรัต พระพุทธศาสนากับมังสวิรัติ : ประเด็นข้อเท็จจริง โดย พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ ป.ธ.๙, Ph.D)

(อ่าน 1177/ ตอบ 5)

santi

พระพุทธศาสนากับมังสวิรัต






























พระพุทธศาสนากับมังสวิรัติ : ประเด็นข้อเท็จจริง 


โดย พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ ป.ธ.๙, Ph.D)


 







 


สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร กรุงราชคฤห์ ภิกษุณีอุบลวรรณาอยู่ในกรุงสาวัตถี เข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี กลับจากบิณฑบาตเข้าไปพักผ่อนในป่าอันธวัน ขณะนั้น พวกโจรลักโค ฆ่าชำแหละเอาเนื้อ ย่างสุกแล้วคัดเลือกเนื้อดีเอาใบไม้ห่อแขวนไว้ใกล้ภิกษุณีอุบลวรรณา โดยมีเจตนาจะถวายภิกษุณีอุบลวรรณารู้เจตนาจึงถือเอาเนื้อนั้นเหาะไปยังพระ เวฬุวันวิหารฝากเนื้อไว้กับพระอุทายี เพื่อน้อมนำไปถวายพระพุทธเจ้า




 กินเนื้อสัตว์ผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ ? 


เกณฑ์ในการตัดสินว่ามีการล่วงละเมิดศีลข้อปาณาติบาต หรือไม่ มีอยู่ ๕ ประการ คือ  


๑)     สัตว์มีชีวิต 


๒)   รู้ว่าเป็นสัตว์มีชีวิต 


๓)    มีจิตคิดจะฆ่า


๔)    มีความพยายาม


๕)    สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น


 


เมื่อ องค์ประกอบครบ ๕ อย่างนี้ ถือว่าผิดศีลหรือล่วงละเมิดศีลข้อนี้ ถ้าไม่ครบก็ถือว่ายังไม่ล่วงละเมิด แต่ชื่อว่าทำให้ศีลข้อนี้ทะลุ (ขาดตรงกลาง) ทำศีลข้อนี้ให้ด่าง ทำให้ศีลข้อนี้พร้อมเพราะฉะนั้น ต่อคำถามที่ว่า กินเนื้อสัตว์ผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ ? จึงตอบได้เป็น ๒ ลักษณะ คือ (๑) ฆ่ากินเองผิดศีลข้อปาณาติบาต แต่จะเหมาะสมหรือไม่เป็นประเด็นที่จะอภิปรายต่อไป แต่ก่อนที่จะอภิปรายกฎหมายบ้านเมืองพูดถึงการสมรู้ร่วมคิดกันกระทำความผิด การมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดกินเนื้อสัตว์ที่คนอื่นฆ่า เช่นไปซื้อมาจากตลาด สั่งให้เขาจัดหาไว้ให้แล้วไปซื้อเอา หรือคนอื่นนำมาให้เพราะรู้จักกัน กินในลักษณะอย่างนี้ ธรรมเนียมพระสงฆ์ถือว่ามีความผิด


 


กินเนื้อสัตว์เหมาะสมหรือไม่ ?


๑)     ประเด็นทั่วไป


                คำว่า “ถูกต้อง” กับคำว่า “เหมาะสม” มีนัยต่างกัน “ถูกต้อง” หมายถึงไม่ผิดบทบัญญัติด้านพระวินัยหือศีลธรรม ส่วนประเด็นเกี่ยวกับความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ต้องอภิปรายคำว่า “สุจริต” กับคำว่า “ยุติธรรม” ก่อน ซึ่งทั้ง ๒ คำนี้มีนัยต่างกัน คำว่า “สุจริต”มีนัยบ่งถึงความถูกต้องเชิงศาสนา เช่น พระพุทธศาสนาแสดงกายสุจริต ๓ วจีสุจริต ๔ มโนสุจริต ๓ กล่าวเฉพาะกายสุจริต ๓ คือ ๑) เว้นจากการฆ่าสัตว์  ๒) เว้นจากการลักฉ้อ  ๓) เว้นจากการประพฤติผิดในกาม จะเห็นว่า กายสุจริตข้อหนึ่งคือเว้นจาการฆ่าสัตว์ คนที่มีกายสุจริตอย่างหนึ่งคือเว้นจากการฆ่าสัตว์ รักษาศีล ข้อปาณาติบาตบริสุทธิ์บริบูรณ์


ส่วน คำว่า “ยุติธรรม” มีนัยบ่งถึงความเหมาะสม ยอมรับ เช่น ในกระบวนการยุติธรรมทางศาล การตัดสินคดีบางอย่างอาจถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม แต่ต้องยอมรับว่าในบางคดีอาจไม่ถูกต้องนัก คนที่ทำผิดมากอาจผิดน้อยขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานคนที่ผิดน้อยอาจผิดจาก ถ้าหาเหตุผลมาแสดงความบริสุทธิ์ไม่ได้


๒)   ประเด็นเฉพาะ


๒.๑ คฤหัสถ์กินเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ได้ฆ่าเอง ย่อมไม่ผิดศีลทุกกรณี


๒.๒ พระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นเนื้อต้องห้าม ๑๐ อย่างผิดพระวินัย แม้จะเป็นเนื้อชนิดอื่นจากเนื้อต้องห้าม ถ้าไม่บริสุทธิ์ด้วยเงื่อนไข ๓ อย่างดังกล่าว ถือว่าผิดพระวินัยเช่นเดียวกัน


มีคำอยู่ ๓ คำที่ต้องนำมาพิจารณาเพื่อตอบคำถามที่ว่ากินเนื้อสัตว์เหมาะสมหรือไม่ คือ ๑) ศีลธรรม หรือวินัย หรือกฎหมาย  ๒) สุจริต  ๓) ยุติธรรม  เรื่อง ของศีลธรรมหรือวินัย หรือกฎหมายเป็นเรื่องของหลักการ ผิดก็คือผิด มีบทกำหนดโทษชัดเจน ถ้าเป็นศีลธรรมหรือวินัยของพระภิกษุสามเณรก็เป็นทางใจ โทษทางสังคม ถ้าเป็นกฎหมายบ้านเมืองก็ทางแพ่งทางอาญาแล้วแต่กรณี เรื่องที่สุจริตหรือไม่สุจริต เป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องตามหลักธรรมทางศาสนา ส่วนเรื่องยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม แบ่งเป็น ๒ ส่วนคือ


ส่วนที่ ๑ เป็นข้อเท็จจริง เช่น กรณีการอ้างสิทธิที่จะพึงมีพึงได้เมื่อมีคนกลุ่มหนึ่งได้สิทธิ ย่อมมีคนอีกกลุ่มหนึ่งเสียสิทธิ การได้สิทธิถือเป็นความยุติธรรมสำหรับกลุ่มที่ได้สิทธิ แต่ถามว่า ยุติธรรมสำหรับกลุ่มที่เสียสิทธิหรือไม่ ? หรือกรีการกินเนื้อสัตว์ เมื่อมีการกินเนื้อสัตว์ ก็ย่อมมีการฆ่าสัตว์ ผู้ที่กินอาจคิดว่า สัตว์อื่นเกิดมาเป็นอาหารของเรา เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะกินอะไรก็ได้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ข้อเท็จจริงก็คือว่า ชีวิตของสัตว์จำนวนมากถูกทำลายไป นี่เป็นข้อเท็จจริง


ส่วนที่ ๒ เป็นความรู้สึก เช่น กรณีการเลื่อนขั้นเงินเดือนของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีตำแหน่งเท่ากัน ทำงานในกลุ่มเดียวกันแต่ได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนไม่เท่ากัน นาย ก. ทำงานดีเอาใจใส่ต่องาน มีประสิทธิภาพในการทำงาน ประสิทธิผลของงานดีกว่า จึงได้รับการเลื่อนเงินเดือนมากกว่า นาย ก. รู้สึกมันยุติธรรมสำหรับตัวเองแล้วที่ได้ทุ่มเทมาตลอดทั้งปี  นาย ข. ไม่เอาใจใส่ต่อการงาน ประสิทธิภาพในการทำงานต่ำ ประสิทธิผลของงานก็ต่ำ จึงได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนต่ำกว่า แต่ นาย ข. รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับตัวเอง เพราะตัวเองมีตำแหน่งเท่ากับนาย ก. และทำงานเดียวกันอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับนาย ก.  นี่เป็นความรู้สึก


สรุป ได้ว่า คฤหัสถ์กินเนื้อสัตว์ถ้าไม่ได้ฆ่าเอง ย่อมไม่ผิดศีลและเป็นพฤติกรรมสุจริต แต่ไม่ยุติธรรมแน่นอน พระภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ถ้าไม่ผิดเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น ย่อมไม่ผิดพระวินัย และเป็นพฤติกรรมสุจริต แต่ไม่ยุติธรรมเช่นเดียวกัน ถามว่า “เพราะเหตุไร ?  จึงไม่ยุติธรรม”


สามัญ สำนึกบอกให้ทราบว่า “สัตว์ทุกตัวตนรักสุข เกลียดทุกข์ สัตว์ทุกชนิดรักชีวิต รักตัวกลัวตาย” การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดการฆ่าสัตว์ แม้ผู้กินจะไม่ได้ฆ่าเอง แต่การกินทำให้เกิดการฆ่าทังโดยตรงและโดยอ้อม อาจมีคำโต้แย้งว่า “ถึงเราไม่กิน คนอื่นก็กิน สัตว์ต่าง ๆ ก็กินกันและกันเป็นอาหาร สัตว์ก็ต้องถูกฆ่าอยู่นั่นเอง” คำโต้แย้งนี้ไม่เป็นสากล เราน่าจะถามในประเด็นอื่น ๆ บ้าง เช่น


๑)     มนุษย์กินอาหารประเภทอื่นที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่ ?


๒)   การ กินเนื้อสัตว์ถึงแม้จะไม่ได้ฆ่าเอง แต่ก็มีส่วนส่งเสริมให้เกิดการฆ่าสัตว์เหมือนกรณีรัฐบาลทุ่มงบประมาณซื้อมัน สำปะหลัง ถึงแม้รัฐบาลจะไม่ได้ปลูกเอง แต่ก็มีส่วนส่งเสริมให้มีการปลูกมันสำปะหลังมากขึ้น ใช่หรือไม่ ?


๓)    ทุก คนรู้ว่าการดื่มกาแฟมีผลเสียต่อสุขภาพ ไม่อยากจะให้มีการผลิตกาแฟ แต่ทุกคนก็ยังดื่มกาแฟ การที่ทุกคนดื่มกาแฟมีผลทำให้ยังมีการผลิตกาแฟอยู่ใช่หรือไม่ ?


 


ความสรุป


: พระพุทธศาสนาสรุปอย่างไรเกี่ยวกับมังสวิรัติ


 


พระ พุทธศาสนาให้ความสำคัญแก่ชีวิตมาก ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของสัตว์ประเภทไหนล้วนมีความสำคัญทั้งสิ้น ในขณะเดียวกันก็ยอมรับความจริง ๒ ระดับ คือ (๑) ระดับโลกิยะ  (๒) ระดับโลกุตตระ


ใน ระดับโลกิยะ พระพุทธศาสนาเห็นว่ามีความบกพร่องมากมีคำพูดอยู่ประโยคหนึ่งที่พระภิกษุ สามเณรในครั้งพุทธกาลพูดอยู่เสมอ เมื่อเกิดการณีผิดพลาดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คือคำพูดที่ว่า “ไม่ใช่ความผิดของท่าน ไม่ใช่ความผิดของผม แต่เป็นความผิดของวัฎฎะ” คำว่า “วัฎฎะ” ก็คือสังสารวัฏ หรือการเวียนว่ายตายเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านั่นเอง เมื่อคราวตรัสรู้ไม่น่าน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า


เรา แสวงหานายช่างผู้ทำเรือน เมื่อไม่พบได้ท่องเที่ยวไปสู่สังสาระ มีความเกิดเป็นอเนก ความเกิดเป็นทุกข์ร่ำไป เราได้พบนายช่างผู้ทำเรือนแล้วเจ้าจักทำเรือน (คืออัตภาพของเรา) ไม่ได้อีกต่อไปซี่โครงทั้งหมดของเจ้า เราหักแล้ว ยอดเรือน (คืออวิชชา) เรารื้อแล้ว จิตของเราได้ถึงนิพพานมีสังขารไปปราศแล้ว เราได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว


พระ พุทธพจน์นี้ทำให้สรุปได้ว่า การเกิดมาในโลกในระดับโลกิยะ มีปัญหาติดตัวมากมาก สัตว์บางตนเกิดมาอยู่ในฐานะเป็นอาหารของสัตว์อื่น เช่น หมู่ ปลา ไก่ สัตว์ขางตนเกิดมาอยู่ในฐานะต้องกินสัตว์เป็นอาหารอย่างเดียว โดยที่ตัวเองมีเนื้อเป็นพิเศษสำหรับสัตว์อื่น แม้แต่มนุษย์ที่ขอบกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร เนื้อของมนุษย์เองก็เป็นอาหารของสัตว์อื่นบางจำพวก นี่คือสังสารวัฎ


ชาว ประมงมีอาชีพหาปลาขาย ฆ่าปลาขาย ฆ่าปลาเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน พวกเขาไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แต่พวกเขาทำผิดหลักธรรมข้อสุจริต ล่วงละเมิดศีลข้อปาณาติบาต และวิถีชีวิตของพวกเขาไม่ยุติธรรมสำหรับปลา แม้กระนั้นขาวประมงก็ยังต้องดำรงชีพโดยการจับปลาขายต่อไป เกษตรกรเลี้ยงไก่ เลี้ยงปลาก็อยู่ในฐานะเดียวกัน คนที่มีอาชีพฆ่าหมูเพื่อชำแหละเนื้อออกขายในท้องตลาดก็อยู่ในฐานเดียวกัน นี่คือข้อจำกัดหรือโทษของสังสารวัฏ


ใน ระดับโลกุตตระ วิถีชีวิตบริสุทธิ์จากข้อจำกัดเหล่านี้ สัมมาอาชีวะหรือสัมมาอาชีพซึ่งเป็นองค์หนึ่งในมรรคมีองค์ ๘ จึงหมายถึง การดำรงชีพที่ชอบเว้นจากอาชีพที่เป็นการเบียดเบียนชีวิต เช่น การค้าอาวุธแม้จะถูกต้องตามกฎหมาย การค้าแรงงานมนุษย์ การค้ายาพิษ การค้าน้ำเมา


ประเด็น เกี่ยวกับมังสวิรัติก็เช่นเดียวกัน การกินหรือไม่กินเนื้อสัตว์เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล ประเด็นสำคัญคืออย่าฆ่าสัตว์เมื่อพระเทวทัตต์เข้าไปเฝ้ากราบทูลขออนุญาต วัตถุ ๕ ประการ วัตถุข้ออื่น ๆ พระพุทธเจ้าตรัสกับพระเทวทัตต์ “อย่าเลยเทวทัตต์ภิกษุใดปรารถนาก็จงทำไปเถิด เช่น ภิกษุใดปรารถนาก็จงอยู่ป่า” ส่วนข้อที่เกี่ยวกับการฉันปลาและเนื้อ พระพุทธเจ้าตรัสตอบพระเทวทัตต์ว่า “เราอนุญาตปละและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ (๑) ไม่ได้เห็น (๒) ไม่ได้นึกสงสัย (๓) ไม่ได้นึกสงสัย” จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงใช้คำว่า “ผู้ใดปรารถนาจงฉันปลาและเนื้อ” พระพุทธเจ้าดำรัสนี้มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ถามว่า “อะไรคือนัยสำคัญแห่งพระพุทธดำรัสนี้ ?


พระพุทธดำรัสว่า “เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์ด้วยอาการ ๓ อาการ ...”  หมาย ถึง ไม่ได้ตั้งข้อกำหนดไว้ วางไว้เป็นกลาง ๆ ไม่ได้กำหนดแม้แต่จะบอกว่า “ผู้ใดปรารถนาก็จง ...” เพราะฉะนั้น เรื่องที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้เป็นกลาง ๆ อย่างนี้ ในทางปฏิบัติจะเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม จะถูกหรือผิด พระภิกษุต้องเทียบเคียงกับหลักที่เรียกว่า “มหาปเทศ” ๒ ข้อ คือ


(๑) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า “สิ่งนี้ไม่ควร” ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่ไม่ควร แย้งกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควร


(๒) สิ่งใดที่ไม่ได้ห้ามไว้ว่า “สิ่งที่ไม่ควร” ถ้ามีแนวโน้มหรือจัดอยู่ในกลุ่มสิ่งที่ควร แย้งกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร


เมื่อ พระภิกษุเทียบเคียงถือปฏิบัติอย่างนี้ย่อมไม่ผิดพระวินัยแต่อย่างที่กล่าวมา แล้วว่า วิถีชีวิตระดับโลกิยะ มีโทษมาก มีข้อบกพร่องมาก เช่นกรณีการกินเนื้อสัตว์ แม้จะเป็นเนื้อที่ไม่ต้องห้ามต้องพิจารณาก่อนฉัน ถ้าไม่พิจารณาย่อมผิดพระวินัย ซึ่งต้องการให้พระภิกษุหรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่พระภิกษุสำนึกอยู่เสมอว่า การกินเนื้อสัตว์แม้จะไม่ได้ฆ่าสัตว์ก็ถือว่ามีส่วนทำให้ชีวิตถูกทำลาย ถ้าไม่กินจะดีกว่าหรือไม่ ? ส่วนวิถีชีวิตระดับโลกุตระนั้น ย่อมบริสุทธิ์จากอกุศลเจตนาทุกประการ พระพุทธศาสนาสรุปชัดเจนในประเด็นว่า ฆ่าสัตว์ผิดศีลผิดวินัย บางกรณีผิดกฎหมายบ้านเมืองกินเนื้อสัตว์ ถ้าเป็นคฤหัสถ์ไม่ผิด ถ้าเป็นพระภิกษุฉันผิดเงื่อนไข ผิดพระวินัย ถ้าไม่ผิดเงื่อนไข ไม่ผิดพระวินัย นั่นเป็นเรื่องของศีลของคฤหัสถ์และพระวินัยของพระภิกษุ แต่อย่าลืมว่า ฆ่าสัตว์กับกินเนื้อสัตว์เป็นคนละประเด็น กินเนื้อสัตว์ในกรณีที่แม้จะไม่ผิดศีลหรือพระวินัย แต่ส่งผลต่อคน/สัตว์รอบข้างและอุปนิสัยจิตใจของผู้กินแน่นอน ในลังกาวตารสูตรแสดงเหตุผลที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์สรุปได้ว่า “ในสังสารวัฏ คนที่ไม่เคยเป็นบิดามารดา ไม่เคยเป็นพี่น้องกัน ไม่มี สัตว์ทุกตัวตนมีความสัมพันธ์ทั้งสิ้นไม่ชาติใดก็ชาติหนึ่ง” เพราะฉะนั้น กินเนื้อสัตว์วันนี้ เราอาจกำลังกินเนื้อของสัตว์ที่เคยเป็นบิดามารดาของเราในชิตที่แล้วมาหรือใน อีก ๕ ชาติข้างหน้าก็ได้ นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงผลเสียของการกินเนื้อสัตว์ไว้ เช่น ทำให้เป็นที่หวาดกลัวของสัตว์ต่าง ๆ ทำให้กลิ่นตัวเหม็น ทำให้ชื่อเสียงไม่ดีกระจายไป


พระพุทธศาสนากับมังสวิรัต






























พระพุทธศาสนากับมังสวิรัติ : ประเด็นข้อเท็จจริง


โดย พระศรีคัมภีรญาณ (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ ป.ธ.๙, Ph.D)







ข้อมูลอ้างอิงจาก




เวปวัดปากน้ำภาษีเจริญ…




www.watpaknam.org/knowledge/view.php?id=15………


ani

พระสงฆ์ท่านไม่ได้ฉันเนื้อสัตว์ ไม่ได้ยินดีในการฉันเนื้อสัตว์
แต่ท่านฉันบิณฑบาตร อาหารบริสุทธ์ ที่ได้มาจากลำแข้ง
ท่านไม่ขอ และไม่เจตนาฉันเพื่อความเมามัน ในรสอาหาร
ท่านฉัน เพียงเพื่อให้ อัตภาพร่างกายนี้ ตั้งอยู่ได้เพื่อการบำเพ็นเพรียร

ส่วนชาวบ้าน ที่สามารถสรรหา และเลือกแนวทางการเลี้ยงชีพ
ก็สามารถเลือกได้ตามจริตนิสัยกรรมของตน
Page : 1
Lock Reply
 
 หน้าแรก  รวมเสียงโจโฉ  บทความ  ภาพกิจกรรม  สนับสนุนโจโฉ  ติดต่อ
view